คลิกเลย.มีรูปภาพสวยๆให้คอมเม้นท์กลับไปหาเพื่อน.
aoJvoJ: 2009

วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

วิธีขุดต้นข่อยไม่ให้ตาย

1।คุ้ยดินรอบโคนต้นไม้ที่เราจะขุด จนกว่าจะเจอราก ปกติเราจะเลือกไม้ที่มีรากรอบโคน ถ้ารากไม่รอบก็ไม่ควรขุด ปล่อยไว้เป็นป่าดีกว่า
2।ตัดกิ่งที่ไม่ต้องการออก เหลือไว้ประมาณ 1 ฟุตเอาไว้ตัดอีกครั้งที่บ้าน
3।ทำวงกลมรอบโคน รัศมีจากโคนประมาณ 1 คืบ ใช้เสียมขุดจนรอบ เมื่อขุดได้ลึก 10-15 ซม ใช้ยางในรถยนต์รัดตุ้มไว้ให้แน่นกันดินแตก เมื่อเจอรากให้ใช้เสียมสำหรับตัดรากซึ่งคมพิเศษ ตัดครั้งเดียวต้องขาดเพื่อไม่ให้รากช้ำ ยกเว้นรากใหญ่มาก นั่นคือต้องมีเสียม 2 เล่ม สำหรัขขุดดินและสำหรับตัดราก แล้วขุดเฉียงๆเข้าหารากแก้ว จนตัดรากแก้วขาด
4।ใช้เสียมเซาะดินออก ให้ตุ้มลึกประมาณ 15 ซม ก็พอแล้วหนามากจะยกไม่ไหว ใช้เลื่อยตัดรากแก้วอีกครั้ง อย่าใช้เสียมตัดรากตุ้มจะแตก
5।ใช้ปูนขาวทาแผลรากและกิ่งทั้งหมด เอายางรัดออก ต้องระวังอย่าให้ตุ้มแตก ถ้าแตกคือตาย หรือไม่เอายางรัดออกก็ได้ เอาถุงปุ๋ยห่อแล้วเอาเชือกฟางรัดให้แน่น นำกลับบ้าน
6। เอาไม้ตุ้มวงบนแท่นหมุน เลือกหน้าไม้โดยยึดเป็นราก รองลงมาคือกิ่ง1-2 ... ตัดกิ่งอีกครั้งให้เหลือความยาวเท่าที่ต้องการเท่านั้น
7। เอาปูนขาวทาแผลใหญ่ทั้งหมด
8। เอาถุง พลาสติกขาว ครอบต้นไว้ทั้งหมด แล้วมัดปากถุงไว้ที่โคนต้น
9। เอาวางไว้ในร่ม รดน้ำวันละครั้ง ครบ 1 เดือนถอดเอาถุงออก ไล่อากาศในถุงออกให้หมด แล้วครอบถุงไว้อย่างเดิมอีกครึ่งเดือน
10। เมื่อครบ 1.5 เดือน เอาถุงออกแล้วเอาไปไว้ที่แดดรำไรก่อน สัก 7 วัน แล้วค่อยให้ถูกแดดเต็มที่

วันอังคารที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2552

วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2552

ไม้ดัด


รูปกวาง

วันอังคารที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2552

ไม้ดัดลงกระถาง


ไม้ดัดลงกระถาง


การตัดแต่งกิ่งช่อใบ

การปิดกระหม่อมทำหุ่นไม้ดัด
ลักษณะของไม้หุ่นที่มีรูปทรงเป็นลักษณะไม้หุ่นเดียว (ไม้วิชา) เมื่อนำมาปลูกและฟื้นตัวได้ดี มีกิ่งกระโดงแตกใหม่แล้วจะต้องทำการปิดกระหม่อม ลักษณะไม้ท่อนเดียวเมื่อเจริญเติบโตดีแล้วให้เลื่อยต้นตอ สูงจากพื้นดินพอเหมาะตามต้องการ ต่อมาจะเกิดกิ่งกระโดงแตกออกมาใต้บริเวณรอยตัด ถ้ากิ่งกระโดงแตกต่ำจากรอยตัดมากเกินไป ก็ให้ตัดหัวตอลดต่ำลง เมื่อกระโดงยาวได้ประมาณ 30 เซนติเมตร ก็ให้เริ่มทำการปิดกระหม่อมทำหุ่น โดยการค่อย ๆ กับหลักให้แน่น ปล่อยให้กิ่งกระโดงยาวออกไปเรื่อย ๆ แต่ต้องคอยริดยอดหรือให้กิ่งกระโดงโตเร็วขึ้น รอจนกว่ากิ่งกระโดงจะโตเชื่อมปิดกระหม่อมได้เรียบร้อยดีแล้ว ก็ให้ตัดกิ่งกระโดงออกเหลือไว้เท่าที่ต้องการเท่านั้น เพื่อใช้กิ่งกระโดงนี้เป็นหุ่นเลี้ยงกิ่งแยกต่อไป แต่ละหุ่นจะปล่อยให้แตกกิ่งแยกเท่าไรนั้น ก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าจะทำไม้ตัดชนิดใดจากรูปแบบทั้ง 9 ชนิด ที่กล่าวไว้แล้วในตอนที่ 2
เทคนิคการตัดแต่งกิ่ง
การเตรียมต้นตอ เพื่อการปลูกเลี้ยงเป็นไม้ดัดไม่ว่าต้นตอที่ได้มานั้นจะมีรูปแบบเป็นไม้บรรจบป่าหรือไม้บรรจบหุ่น รูปทรงมักจะไม่งามตามความต้องการ คงต้องเลี้ยงและบังคับ ให้มีกิ่งก้านพุ่มใบตามรูปร่างรูปทรงที่ตัดเอาไว้ การดัดกิ่งก้านหรือบังคับให้แตกกิ่งก้านตรงจุดที่ต้องการ เป็นเรื่องที่ต้องทำเสมอ เทคนิคเหล่านี้จำเป็นต้องศึกษา ติดตามสังเกตจากผู้มีประสบการณ์ อย่างไรก็ตาม แบบเรียนคงบอกผู้ปลูกเลี้ยงไม่ได้ว่าจะต้องดัดตรงไหนให้แตกกิ่งใหม่กี่กิ่ง คงเสนอแนะเทคนิคการดัดและเสริมกิ่ง เท่าที่ผู้ปลูกเลี้ยงนิยมทำกันเท่านั้น
การดัดโค้งงอ
เป็นการจัดกิ่งพุ่มใบให้ระยะห่างได้จังหวะช่องไฟที่เหมาะสม การดัดลักษณะนี้จะใช้ลวดพันลำต้นและกิ่งที่ต้องการ การพันลวดควรคำนึงถึงสิ่งเหล่านี้ 1. ขนาดของลวด เลือกให้มีขนาดเหมาะสมกับลำต้นหรือกิ่งที่จะพันเพราะถ้าใช้ลวดเล็กเกินไป จะบังคับให้กิ่งโค้งตามต้องการไม่ได้ หรือถ้าลวดมีขนาดใหญ่ก็จะแข็งทำให้พันลำบาก 2. การพัน พันวนไปตามต้นกิ่งในลักษณะ 45 องศา ทั้งระยะห่างพอประมาณอย่าให้หลวมหรือแน่นจนเกินไป 3. การดูแลหลังพันลวด หลังจากพันลวดเสร็จแล้วสามารถดัดได้ตามต้องการ การดัดควรทำอย่างเบามือ อย่าพยายามดัดหรือหักลำต้นจนเกินไปเพราะอาจทำให้กิ่งและลำต้นเสียหายได้ เมื่อดัดเรียบร้อยแล้ว ต้องปล่อยให้ต้นไม้อยู่ตัวสักระยะหนึ่ง ประมาณ 3-4 เดือน จึงเอาลวดออกเพื่อป้องกันการสปริงตัวกลับของกิ่ง ถ้าเห็นว่ากิ่งมีรอยถูกลวดมัด ให้รีบแก้ออกแล้วพันใหม่ทันที การดัดกิ่งให้โค้งงออีกรูปแบบหนึ่ง คือการใช้น้ำหนักถ่วงให้กิ่งโค้ง ห้อยงอลงเพราะแรงดึงหรือแรงถ่วง โดยใช้ก้อนหินหรือของหนัก ๆ ผูกเชือกห้อยไว้กับกิ่งที่ต้องการดัด จนเห็นว่ากิ่งอยู่ตัวดีจึงนำออก
การดัดฉาก
กรณีที่ต้องการกิ่งหักมุม หรือหักข้อศอก ให้ใช้มีดปาดส่วนของกิ่งด้านที่ต้องการหักมุมออก แล้วหักพับตามต้องการโดยใช้ลวดบังคับหรือใช้เชือกผูกยึดจากนั้นใช้พลาสติกพันทับรอยปาดที่หักพับของกิ่งเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำเข้าได้ จะทำให้รอยแผลสร้างเปลือกออกหุ้มโดยเร็วขึ้น
การบังคับให้แตกกิ่ง
บางครั้งจำเป็นต้องบังคับให้แตกกิ่งใหม่ตรงตามจุดที่ต้องการซึ่งอาจเป็นได้ทั้งกิ่งที่มีตาและตรงที่ไม่มีตาการบังคับให้แตกกิ่งตรงที่มีตาอยู่แล้ว ทำได้โดยการใช้พลาสติกพันลำต้นและกิ่งให้มิด เว้นไว้ตรงตาที่ต้องการให้แตกกิ่ง เมื่อตาที่เว้นไว้แตกกิ่งจะต้องรอให้กิ่งโตพอสมควร จึงเอาพลาสติกที่พันออกการบังคับให้แตกกิ่งตรงที่ไม่มีตา วิธีการทำได้โดยใช้สว่านเจาะทะลุ แล้วนำกิ่งยอดจากต้นอื่น มาตัดกิ่งแขนงเล็ก ๆ และรูดใบออกให้หมด นำกิ่งดังกล่าวสอดให้ทะลุรูเจาะนั้น แล้วผูกยึดกิ่งสอดนั้นให้แน่น รอให้กิ่งที่สอดนั้นโตขึ้นเนื้อเยื่อและท่อน้ำนำอาหารก็จะเชื่อมประสานติดกันแน่น จากนั้นจึงค่อยตัดโคนกิ่งที่สอดให้ชิดกับกิ่งหุ่น ซึ่งเมื่อนาน ๆ ไปก็จะดูเป็นกิ่งจากต้นหุ่นเดียวกัน
การทำช่อหรือพุ่มใบ
เมื่อมีการจัดหรือบังคับให้แตกกิ่งตรงตามจุดต้องการ สิ่งที่ต้องดูแลต่อไปก็คือช่อหรือพุ่มใบ ไม้ดัดนอกจากรูปทรงต้นกิ่งก้านแล้ว ช่อหรือพุ่มใบเป็นอีกองค์ประกอบหนึ่งที่จะทำให้ไม้ต้นนั้นดูงดงาม ดึงดูดความสนใจของผู้พบเห็น การทำช่อหรือพุ่มใบทำได้โดยการตัดยอดของกิ่งนั้นออก ให้กิ่งนั้นแตกยอดและใบออกมา รอจนยอดนั้นมีใบเพสลาด (กิ่งอ่อนกิ่งแก่) จากนั้นก็ตัดยอดที่แตกออกมาใหม่นี้อีกครั้งในลักษณะเช่นนี้ติดต่อกันไป จนกระทั่งส่วนนั้นแตกยอดและใบมากขึ้นดูสวยงาม ก็ตัดแต่งให้ได้รูปทรงของช่อใบตามต้องการ การทำช่อหรือพุ่มใบ กิ่งหนึ่งจะแยกออกเป็นกี่ช่อที่พุ่มใบก็ได้ ขึ้นอยู่กับรูปแบบตามตำราและรูปทรงของไม้หุ่น แต่สิ่งที่ควรคำนึงคือ การจัดช่อใบให้ได้ระยะที่พอเหมาะกับสัดส่วนและสัมพันธ์กัน เช่น การที่จะทำให้มี 9 ช่อ ก็จัดวาง 2 ชั้นชั้นละ 4 ช่อ และวางไว้ที่ยอดอีก 1 ช่อ รวมเป็น 9 ช่อพอดี

วันอังคารที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2552

ประโยชน์ของไม้ดัด ไม้แคระ

ประโยชน์ก็คือ ตกแต่งบ้านให้สวยงาม และถ้าใครทำขายก็มีรายได้มาพอที่จะกินได้วันๆ บางคนก็ว่าไว้แก้เคราะห์ แก้นั่นแก้นี้ บ้างก็เอาไว้ประดัดถนน เห็นแล้วไม่มีเบื่อ บ้างก็ดัดรู้สัตว์ต่าง ดูแล้วก็สวยดี แล้วก็ทำให้บรรยากาศดีขึ้น เห็นแล้วสบายตา

ความหมายและความสำคัญของไม้ดัดไม้แคระ

มรดกทางศิลปที่เก่าแก่อย่างหนึ่งของไทย ที่ปัจจุบันหาดูได้ค่อนข้างยาก และหาผู้สืบทอดได้ยากอีกด้วยก็คือ การเลี้ยงไม้ดัดแบบไทย ซึ่งเป็นงานอดิเรกของคนไทยมาตั้งแต่สมัยก่อนกรุงศรีอยุธยา ดังที่ปรากฏอยู่ในวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผน ซึ่งผู้เขียนได้เคยยกมากล่าวไว้ในบทที่ 1 แล้ว ประมาณกันว่า"ขุนแผน" ตัวเอกในเรื่องนี้ มีตัวตนจริงๆ อยู่ในสมัยของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ในแผ่นดินกรุงศรีอยุธยา ระหว่างปีพุทธศักราช 2034 ถึง 2072 หรือจุลศักราช 840 ถึง 891 ซึ่งก็หมายความว่าคนไทยเล่นไม้ดัดเป็นงานอดิเรกกันมานานกว่า 500 ปีแล้ว
แต่ว่า ก่อนที่จะคุยกันเรื่องไม้ดัดแบบไทยกันต่อไป ขอทำความเข้าใจเสียก่อนว่า ไม้ดัดแบบไทยนั้น มีความแตกต่างไปจากไม้แคระตามศิลป"บุ่งไช่"ของจีน และ"บอนไซ"ของญี่ปุ่น อย่างที่เรียกว่าไปกันคนละเรื่อง ประการสำคัญก็คือ ไม้ดัดไทยไม่ใช่ไม้แคระ เพราะฉนั้นการเล่นไม้ดัดกับการเล่นบอนไซนั้นจะไม่เหมือนกัน ข้อแรก ไม้แคระหรือบอนไซนั้น เท่าที่เคยเห็นมา ความสูงอย่างมากที่สุดก็อยู่ประมาณไม่เกินเมตรครึ่ง หรือประมาณ 150 เซ็นติเมตร แล้วเล็กลงไปจนถึงขั้นบอนไซจิ๋ว ซึ่งสูงไม่ถึง 10 เซ็นติเมตร แต่ไม้ดัดของไทยนั้น ขนาดเล็กที่สุดก็ปาเข้าไปร่วมเมตรแล้ว สำหรับที่สูงจริงๆ นั้น ถ้าจะลองไปดูแถวๆ ในพระบรมมหาราชวัง แถวพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ก็ไม่หนี 3-4 เมตรข้อที่สอง รูปแบบของการดัดกิ่งและการตกแต่งกิ่งก้านแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง รูปแบบของบอนไซนั้น เป็นการคงเอาลักษณะและรูปทรงเดิมๆ ของต้นไม้ที่มีอยู่ในธรรมชาติ มาย่อส่วนให้เล็กลงเป็นไม้แคระ แต่รูปแบบของกระบวนไม้ดัดไทยนั้น ไม่คงลักษณะเดิมตามธรรมชาติของต้นไม้ไว้เลย รูปร่างหน้าตาของไม้ดัดไทยแต่ละแบบนับได้ว่ามีความพิลึกพิสดารอย่างยิ่ง ต้องใช้เวลานับเป็นสิบปีกว่าจะ"จบ"ได้ บางทีจนเจ้าของไม้ตายไปแล้วไม้ยังจบไม่ลงก็มี นับเป็นงานอดิเรกที่ต้องใช้ความอุตสาหะ วิริยะ มานะ อดทน ใจเย็น โดยครบถ้วนกระบวนความ ดังนั้นไม้ดัดไทยจึงทรงคุณค่าอยู่ในตัวของมันเองและมีค่าเสมือนวัตถุโบราณอย่างหนึ่งทีเดียว

ลักษณะและชนิดพันของไม้ดัดไม้แคระ


คุณลักษณะที่เหมาะสมของพันธุ์ไม้ดัด การจะเลือกพันธุ์ไม้มาปลูกเลี้ยงเป็นไม้ดัดนั้น จำเป็นจะต้องคำนึงถึงคุณลักษณะที่สำคัญของพันธุ์ไม้ชนิดนั้นๆ ทั้งนี้เพื่อให้สามารถดัดได้ง่าย และสวยงาม ดังคุณสมบัติที่ต้องคำนึงต่อไปนี้
เป็นพันธุ์ไม้ที่มีกิ่งเหนียว สามารถดัดให้โค้งงอได้ตามต้องการ
เมื่อทำการดัดแล้วจะคงรูปทรงไม่เปลี่ยนแปลงรูปทรงง่าย
เป็นพันธุ์ไม้ที่ไม่เจริญเติบโตรวดเร็วเกินไปนัก ซึ่งอาจทำให้เสียรูปทรงได้ง่าย
ใบควรมีขนาดเล็กเพื่อดูเหมาะสมกับหุ่น เปลือกควรมีความสวยงาม เช่น ผิวขรุขระหรือรอยแตก เนื่องจากไม้ดัดจะต้องริดกิ่งใบตามลำต้น จึงเป็นการอวดผิวเปลือกไม้ให้เห็นชัดเจน
เป็นพันธุ์ไม้ที่มีอายุยืนนาน และทนทานต่อสภาพดินฟ้าอากาศ
เป็นพันธุ์ไม้ที่หาง่ายในท้องถิ่น
ชนิดพันธุ์ไม้ดัดที่นิยม หากพิจารณาถึงคุณลักษณะที่เหมาะสมของพันธุ์ไม้ดัดแล้ว จะมีชนิดพันธุ์ที่นิยมนำมาปลูกเลี้ยงเป็นไม้ดัด

การคัดเลือกและเตรียมพันธุ์ไม้ดัด

ลักษณะรูปทรงของไม้หุ่น ต้นไม้ที่นำมาทำเป็นไม้ดัดเราจะเรียกว่า "ไม้หุ่น" ลักษณะการได้มาของไม้หุ่นจะมาจาก 2 แหล่ง คือ 1। ได้จากต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ในป่าตามธรรมชาติ ซึ่งอาจจะออกไปหาขุดเองหรือหาซื้อจากผู้ที่ขุดมาขาย 2। ปลูกเลี้ยงขึ้นมาเอง ไม่ว่าจะหาไม้มาได้ในลักษณะใดก็ตาม การดัดตกแต่งจะยุ่งยากหรือจะต้องใช้เวลามากน้อยแค่ไหน ก็จะขึ้นอยู่กับรูปทรงของไม้หุ่นเป็นสำคัญโดยทั่ว ๆ ไปนักเลงไม้ดัดจำแนกรูปทรงไม้หุ่นไว้ 3 แบบ ด้วยกัน คือ 1। ไม้บรรจบป่า 2। ไม้บรรจบหุ่น 3। ไม้วิชา ไม้บรรจบป่า จะเป็นไม้ที่ขึ้นอยู่ตามธรรมชาติ รูปทรงกิ่งก้านคดเคี้ยวไปมา เนื่องจากถูกสัตว์เหยียบย่ำหรือเป็นต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ใต้พุ่มไม้ใหญ่ชนิดอื่น ๆ ทรงพุ่ม แลดูแคระแกร็นลักษณะทรงต้นดีเข้าที่เกือบใช้ได้แล้วอาจขาดเพียง 2-3 กิ่งเท่านั้นไม้ลักษณะนี้จึงเหมาะสมต่อการนำมาดัดให้ได้รูปทรง เพียงเพิ่มกิ่ง เพิ่มช่อใบ เว้นช่องไฟของช่อใบให้รับหุ่นหรือทรงต้น ก็จะทำให้เป็นไม้ดัดที่ดูงานได้ โดยใช้เวลาอีกไม่มากนัก การเลือกไม้ลักษณะนี้มาทำเป็นไม้ดัด อาจใช้เวลาเพียง 2-3 ปี ก็เสร็จสมบูรณ์ ไม้บรรจบหุ่น เป็นไม้ที่มีลักษณะรูปทรงหุ่นใกล้เคียงกับรูปแบบไม้ดัดที่จะทำ เพียงนำมาทำการดัดแต่งอีกเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็เริ่มทำกิ่งช่อต่อไปได้ไม้บรรจบหุ่นนี้เหมาะสำหรับนำมาดัดแต่งทำเป็นไม้ดัด ลักษณะไม้ตลก ไม้ขบวน ไม้เอนชายและไม้ญี่ปุ่นเท่านั้น การเลือกไม้ลักษณะนี้มาทำเป็นไม้ดัด จะต้องใช้เวลานานอาจจะถึง 9 ปี จึงจะเสร็จสมบูรณ์ ไม้วิชา เป็นไม้ที่มีลักษณะทรงต้นเพียงท่อนเดียว จะนำมาทำเป็นรูปร่างอย่างไรไม่ได้เลย เป็นไม้หุ่นที่นำมาทำไม้ดัดยากที่สุด จะต้องนำมาเลี้ยงให้ต้นแตกกิ่งกระโดงใหม่แล้วจึงจะทำการปิดกระหม่อมหุ่น (การปิดกระหม่อม หมายถึง การที่ดัดกิ่งที่แตกใหม่มาทับรอยตัดของต้นต่อเดิม) เมื่อกิ่งกระโดงได้ขนาดและเชื่อมกับต้นตอได้ดีแล้ว ก็จะใช้กิ่งกระโดงนั้นเป็นหุ่นทำกิ่งช่อต่อไป ผู้ดัดจะต้องใช้ฝีมือ และมีความวิริยะอุตสาหะเป็นเลิศ จึงจะทำได้สำเร็จ การใช้ไม้ชนิดนี้มาทำไม้หุ่นต้องใช้เวลามากกว่าจะได้ไม้ดัดที่เสร็จสมบูรณ์อาจจะถึง 15-18 ปีก็ได้ ปีก็ได้ ไม้วิชานี้ถือว่าเป็นไม้ที่ใช้ทดสอบฝีมือผู้ดัดได้เป็นอย่างดี




การเตรียมพันธุ์ไม้ดัด
ในอดีตที่ผ่านมา ผู้ที่จะเลี้ยงไม้ดัดจะต้องไปเสาะหาไม้หุ่นจากป่าธรรมชาติซึ่งมีอยู่มากมาย การขุดก็ต้องค่อย ๆ ขุดล้อมโคนต้นให้มีดินติดมา ตัดกิ่งและรากที่ยาวเกินไปออก ใช้กระสอบหรือวัตถุอื่นปิดคลุมส่วนดินและรากเอาไว้ ในขณะที่เคลื่อนย้าย จะต้องระมัดระวังอย่าให้กระเทือนมาก นำมาปลูกและใช้หลักปักยึดไว้ให้แน่น เพื่อป้องกันไม่ให้ต้นเอียงหรือล้มจะต้องปลูกทิ้งไว้สักระยะหนึ่ง รอจนต้นไม้ฟื้นตัว และแตกกิ่งก้านใหม่จึงจะค่อยเริ่มลงมือดัดตกแต่งตามต้องการ ในปัจจุบันมีผู้ปลูกเลี้ยงไม้ดัดกันมากขึ้น จึงเกิดมีอาชีพขุดต้นตอขาย ผู้ที่อยู่ใกล้แหล่งธรรมชาติที่มีต้นตอขึ้นอยู่แล้วมากมาย จะเลือกขุดและนำมาพักเลี้ยงให้ฟื้นตัวดี เมื่อเริ่มแตกกิ่งก้านใหม่ จึงนำออกมาขายให้กับผู้ที่ต้องการปลูกเลี้ยงต่อไป ในอนาคต คงจะต้องใช้วิธีปลูกเลี้ยงพันธุ์ไม้ขึ้นมาเอง เพราะพันธุ์ไม้ที่มีอยู่ตามธรรมชาตินับวันก็จะหายากและขาดแคลนมากขึ้นเรื่อย ๆ

วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2552

วันอังคารที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2552

วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2552

วันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2552

วันอังคารที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2552

วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

วันอังคารที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2552


บอนไซชนิดต่อไม้

วันพฤหัสบดีที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ความเป็นมาของบอนไซ

คำว่า “บอนไซ”เป็นคำทับศัพท์ในภาษาญี่ปุ่น แปลเป็นไทยว่า ไม้แคระ มีตำนานความเป็นมาดังนี้ (ชาง ตันสกุล : 2534, 7-8) บอนไซ ได้ถูกพัฒนาจากการปลูกไม้ในกระถางของคนจีนโบราณ ตั้งแต่สมัยราชวงศ์จิ้น ราวปี พ.ศ. 808-963 โดยตู หยวน-หมิง จินตกวีผู้หันหลังให้กับราชสำนัก มุ่งสู่ชนบทริเริ่มปลูกต้นไม้ไม้ดอกลงในกระถาง เป็นผู้บุกเบิกบอนไซเป็นท่านแรกก็ว่าได้ต่อมาในราชวงศ์ถัง ต่อกับราชวงศ์ซ้อง ระหว่างปี พ.ศ. 1161-1823 ได้เรียกไม้ย่อส่วนที่ปลูกในกระถางว่า “เผิน-วัน”ต่อมาได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง ซึ่งรู้จักกันในนามว่า “เผิน ชิง” หรือไม้กระถางประดับด้วยทิวทัศน์นั่นเองในช่วง คังซี ฮ่องเต้ ถึงสมัย เจีย-ชิง ฮ่องเต้ (ระหว่าง พ.ศ.2205-2264) มีผู้นิยมเล่นบอนไซกันมากในประเทศจีน ซึ่งในสมัยราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง ประเทศจีนรุ่งเรืองมาก ประชาชนมีความเป็นอยู่อย่างสงบสุข ต่างใช้เวลาว่างมาศึกษาการเล่นบอนไซเป็นงานอดิเรกกันมาก
ครั้นเริ่มต้นสมัยสาธารณรัฐประชาชนจีน ในช่วงปี พ.ศ. 2443 การปลูกเลี้ยงและการตัดแต่งกิ่งบอนไซ เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในในกวางตุ้ง โดยดัดแปลงศิลปะการวาดด้วยแปรง มีรูปแบบและรูปทรงต้นไม้ย่อส่วน ประกอบด้วยลักษณะโบราณที่เต็มไปด้วยความสวยสดงดงามอย่างน่าทึ่ง ต่อมาวิธีการนี้รู้จักกันดีในชื่อว่า “หลิงหนานพ่าย” และได้ยกฐานะของการปลูกไม้กระถางขึ้นเป็นศิลปะแขนงหนึ่งทีเดียว แม้ว่าชื่อของศิลปะแขนงนี้จะถูกเรียกชื่อไปต่างๆ นา นา แต่ปัจจุบันนี้เรียกกันว่า “เผิน-ใจ” หรือ “บอนไซ” อันมีความหมายว่า “ต้นไม้โบราณย่อส่วนโดยปราศจากทิวทัศน์”ประเทศที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้แพร่กระจายเรื่องบอนไซ และมีความสามารถในการเล่นบอนไซได้เป็นที่รู้จักกันทั่วโลก คือ ประเทศญี่ปุ่น โดย จู-ซุ่น-สุ่ย ข้าราชการจีนผู้หนึ่งที่เข้าไปลี้ภัยในญี่ปุ่น ได้นำตำราการเล่นบอนไซไปด้วย (ระหว่าง พ.ศ. 1823-1911) ต่อมาหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 บอนไซได้แพร่เข้าสู่โลกตะวันตก(ยุโรป) โดยเฉพาะในเยอรมันและฝรั่งเศสในประเทศญี่ปุ่นสมาคมบอนไซก่อตั้งขึ้นมากมายหลายสมาคม แต่ที่ใหญ่ที่สุด ชื่อ The Nippon Bonsai Association. (สมาคมบอนไซแห่งประเทศญี่ปุ่น) จัดตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2508 โดยมีนาย ชิเกรุ โยชิดะ อดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น เป็นนายกสมาคมคนแรก และต่อมาได้มีการจัดตั้ง สหพันธ์บอนไซโลก (World Bonsai Federation) มีการยกย่องให้บอนไซเป็นศิลปะแห่งสันติที่จะเป็นสะพานเชื่อมไปสู่สันติภาพของโลก บอนไซได้มีส่วนกล่อมเกลาจิตนำไปสู่ใจใฝ่สงบ
สำหรับในประเทศไทยนั้น ไม้ดัดมีเล่นกันมานานแล้วตั้งแต่สมัยสุโขทัย ส่วนบอนไซคาดว่าเริ่มรู้จักกันในสมัยอยุธยา โดยชาวญี่ปุ่นเป็นผู้นำเข้ามา เรื่องของไม้ดัดและบอนไซนี้จะเห็นได้จากวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผน ซึ่งบรรยายถึงไม้ดัดและไม้แคระไว้หลายตอน แต่ในช่วงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์นั้น ส่วนใหญ่จะเป็นความนิยมในไม้ดัดมากกว่าไม้แคระ การเลี้ยงบอนไซหรือไม้แคระนี้กลับมาเป็นที่นิยมกันเมื่อประมาณสามสิบปีมานี้เอง และก็เป็นที่น่าเสียดายที่ว่า เมื่อหลายปีที่ผ่านมานี้ความนิยมในการเลี้ยงบอนไซกลับเสื่อมลงไปอีก ซึ่งส่วนหนึ่งอาจเนื่องมาจากการโก่งราคาซื้อขายกันสูงลิบลิ่วในช่วงที่กำลังเห่อกันเต็มที่ ทำให้นักเลี้ยงหน้าใหม่ท้อใจไปตามๆ กัน ประการที่สองก็คือ ไม้ป่าที่มีอยู่ถูกขุดมาขายกันจนเกลี้ยงป่าไปแล้ว ทราบว่าตอนนี้ต้องแอบเข้าไปขุดเอามาจากเพื่อนบ้านข้างๆ เรา แต่ปัจจุบันราคาไม้ที่พอจะเอามาทำบอนไซได้เริ่มลดลงแล้ว ถ้าจะหาซื้อจากสวนจตุจักรก็พอจะหาได้ด้วยสนนราคาที่พอจะสู้ไหวแต่จะให้ได้รูปทรงตามตำราคงลำบาก การเพาะเลี้ยงจากต้นกล้าเพาะเมล็ด หรือการเพาะเลี้ยงจากกิ่งตอน จึงอาจเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในภาวะปัจจุบัน หากผู้เพาะเลี้ยงไม่เร่งร้อน เหมาะกับการเพาะเลี้ยงเพื่อเป็นงานอดิเรก หรือพักผ่อนในยามว่างในปัจจุบันแวดวงการเพาะเลี้ยงบอนไซในประเทศไทย อยู่ในยุคเฟื่องฟูของความรู้และเทคนิคในการเพาะเลี้ยงบอนไซ มีการจัดตั้งสมาคมผู้เพาะเลี้ยงบอนไซในประเทศไทยขึ้น มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และเทคนิคการเพาะเลี้ยงบอนไซกันอย่างแพร่หลาย คุณภาพและมาตรฐานบอนไซที่เลี้ยงจบแล้วมุ่งสู่มาตรฐานสากลมากขึ้น ผู้เพาะเลี้ยงบอนไซของไทยได้รับรางวัลจากการประกวดบอนไซระดับโลกหลายท่านด้วยกัน มีการส่งบอนไซออกขายไปยังต่างประเทศต่างอย่างต่อเนื่อง

การทำไม้เกาะหิน




ไม้เกาะหิน คือการปลูกต้นไม้บนก้อนหิน โดยให้รากเกาะและแนบกับก้อนหิน



การทำไม้เกาะหิน มีวิธีการทำดังนี้



เตรียมกระถางนำตะแกรงมาวางปิดรูกระถางใส่ดินเผาเม็ดใหญ่หรือถ่านแล้วใส่ดินผสม


เตรียมก้อนหิน ต้นไม้ที่จะนำมาเกาะหิน ถุงพลาสติด และเชือก


นำต้นไม้ออกจากกระถาง รื้อดินออกให้เหลือแต่ราก


เลือกตำแหน่งของก้อนหินที่จะวางต้นไม้ แล้ววางต้นไม้ลงไปในตำแหน่งที่เลือก จัดรากต้นไม้ให้รากกระจายรอบก้อนหิน


ใช้เชือกมัดรากให้แน่น โดยให้รากแนบชิดกับก้อนหิน




นำไปใส่กระถางที่เตรียมไว้ แล้วใส่ดินไปพอสมควร


นำถุงพลาสติกมาสวมโดยให้ก้อนหินอยู่กึ่งกลางของถุงพลาสติก แล้วใส่ดินไปในถุงพลาสติก



เมื่อเลี้ยงมาได้ประมาณ 6 เดือนก็รื้อถุงพลาสติกออกจัดรากมัดด้วยเชือกแล้วสวมถุงพลาสติกอีกครั้ง หรือจะรื้อทุกๆ 6 เดือนก็ได้








เมื่อรากใหญ่พอสมควรก็รื้อถุงพลาสติกออกได้



เลี้ยงจนลำต้นใหญ่จนพอใจก็ตัดต้นให้เหลือแต่ตอ นำมาต่อยอดและเลี้ยงกิ่งจนจบ

วันอังคารที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2552

การวางตำแหน่งกิ่งหลักของบอนไช

ก่อนที่เราจะวางตำแหน่งกิ่งโครงสร้างหลักของบอนไซเราก็ต้องเลือกหน้าไม้กันก่อน กล่าวคือ ผู้เลี้ยงจะให้ด้านใดของต้นไม้เป็นด้านหน้าของบอนไซ ซึ่งการเลือกหน้าไม้นี้ก็ให้ดูว่าเมื่อมองไปที่บอนไซในด้านใดแล้วไม้สวยที่สุดโดยดูจากโคนต้น ราก และลำต้น ก็เลือกด้านนั้นเป็นหน้าไม้เพื่อวางตำแหน่งของกิ่งโครงสร้างหลักต่อไป
สำหรับในการเลี้ยงบอนไซนั้นจะมีกิ่งโครงสร้างหลักที่สำคัญอยู่ 5 กิ่ง โดยจะมีตำแหน่งของกิ่งที่สลับกันไป ไม่อยู่ซ้อนกันและไม่อยู่ในตำแหน่งที่ตรงข้ามกับกิ่งอื่นโดยกระจายอยู่รอบต้น ซึ่งจะทำให้บอนไซได้รูปทรงที่สวยงาม ดังนั้นการวางตำแหน่งกิ่งโครงสร้างหลักควรวางตำแหน่งไว้ดังนี้
กิ่งที่ 1 เป็นกิ่งแรกที่อยู่เหนือจากโคนต้นขึ้นไป การวางตำแหน่งกิ่งนั้นจะวางตำแหน่งกิ่งไว้ด้านซ้ายหรือด้านขวาก็ได้กิ่งที่ 2 เป็นกิ่งที่อยู่เหนือขึ้นไปจากกิ่งที่ 1 การวางตำแหน่งกิ่งนั้นจะวางตำแหน่งกิ่งไว้ตรงข้ามกับกิ่งที่ 1กิ่งที่ 3 เป็นกิ่งที่อยู่เหนือขึ้นไปจากกิ่งที่ 2 การวางตำแหน่งกิ่งนั้นจะวางตำแหน่งกิ่งไว้ตรงข้ามกับกิ่งที่ 2 แต่จะเบนออกมาด้านหน้าเพื่อไม่ให้ซ้อนกับกิ่งที่ 1กิ่งหลัง เป็นกิ่งที่อยู่ระหว่างกิ่งที่ 1 กับกิ่งที่ 2 หรืออยู่เหนือกิ่งที่ 2 ก็ได้ ตามความเหมาะสมของแต่ละต้น การวางตำแหน่งกิ่งนั้นจะวางตำแหน่งกิ่งไว้ด้านหลังของต้นไม้โดยให้กิ่งเบนออกด้านซ้ายหรือด้านขวาก็ได้ กิ่งหน้า เป็นกิ่งที่อยู่เหนือขึ้นไปจากกิ่งที่ 3 การวางตำแหน่งกิ่งนั้นจะวางตำแหน่งกิ่งไว้ด้านหน้าของต้นไม้ แต่กิ่งจะไม่พุ่งออกมาโดยตรงจะเบนออกซ้ายหรือขวาก็ได้

วันอังคารที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ไม้เอนชาย หรือ เอนชายมอ


ไม้เอนชายลำต้นขึ้นตรงแล้วเอนออกไปด้านข้าง ดูเหมือนต้นไม้ที่ขึ้นตามหน้าผา หรือริมตลิ่ง โดยมีรากยึดเกาะด้านข้าง ส่วนมากมักเป็นหุ่นไม้จากป่า แล้วนำมาดัดแต่งกิ่งและช่อใหม่ ไม้เอนชายนี้เข้าใจว่าเดิมนิยมปลูกเพื่อข่มเขาหรือล้อรูปเขา ด้านหลังเขามอ

ไม้เขน


ไม้เขนจะแตกต่างจากไม้ดัดชนิดอื่นตรงที่ให้ความสำคัญกับทรงต้น โคนต้นจะต้องมีปุ่มมีตา กิ่งต่ำสุดต้องดัดลงให้อยู่ตรงข้ามกับกิ่งที่ 2 และกิ่งยอด และกิ่งยอดต้องหักเอี้ยวลงมาข้างหลังก่อนแล้วจึงดัดวกกลับขึ้น กิ่งที่ 2 ดัดให้ได้จังหวะรับกับกิ่งยอด ไม้เขนนี้นิยมทำกิ่งและช่อพุ่มใบ 3 ช่อ จึงจะดูสวยงาม

ไม้ญี่ปุ่น


ไม้ญี่ปุ่น เป็นไม้ดัดที่คล้ายกับไม้แคระทรงญี่ปุ่น และมีวิธีการดัดก็คล้ายๆ กัน คือทำโคนต้นใหญ่ และปลายต้นเรียว ลำต้นตรงหรือเอนเล็กน้อย กิ่งและช่อพุ่มดัดแต่งให้กระจายตามรูปทรงไม้ใหญ่ในธรรมชาติ ไม้ดัดชนิดนี้จะปลูกติดกัน 2 ต้น ให้มีขนาดลดหลั่นกัน หรือจะทำเฉพาะต้นเดี่ยวก็ได้

ไม้ตลก


ไม้ตลกเป็นไม้ดัดที่ตั้งใจให้ผู้พบเห็นแปลกตาทำนองตลกขบขัน โดยจะมีทั้งที่เป็นไม้ตลกหัว คือลำต้นส่วนบนสุดจะเป็นก้อนกลุ่มยิ่งใหญ่โตเท่าไหร่ยิ่งดี ลำต้นส่วนอื่นเป็นกระปุ่มกระป่ำ มีกิ่งมีช่อน้อย ส่วนไม้ตลกราก จะมีรากลอยหรือรากบางส่วนโผล่พื้นดิน แต่ถ้าจะให้สวยงามจริงจะต้องมีทั้งตลกหัวและตลกรากอยู่ในต้นเดียวกัน และทำช่อกิ่งเพียงเล็กน้อยจึงจะดูสวยงาม

ไม้กำมะลอ


ไม้กำมะลอจะมีลักษณะทรงต้นตรงขึ้นไป จะมีกิ่งที่โคนหรือไม่มีก็ได้ แต่ต้องดัดส่วนยอดให้หันเหหมุนเวียนจากยอดวกวนชี้ลงล่างไม่ว่าจะเป็นลักษณะใด หรือยักเยื้องพิสดารเท่าไร ก็จะยิ่งสมชื่อไม้กำมะลอ คือไม่ใช่ของจริง จะมีกิ่งและช่อมากน้อยเท่าไรก็ไม่กำหนด เพียงแต่ให้ดูเข้ารูปทรงสวยงามก็พอ

ไม้ป่าขอม


ไม้ป่าข้อม ทรงต้นจะตรงขึ้นไปถึงยอด ตรงโคนมีปุ่มรอยตัด ดัด

แต่งกิ่งให้วนเวียนรอบๆ ต้นขึ้นไป กำหนดให้ทำ 3 กิ่งๆ ละ 3
ช่อ รวมเป็น 9 ช่อ และต้องจัดทำกิ่งและช่อให้สม่ำเสมอ และจะ
ทำตอแอบ (ต้นไม้เล็กที่ขึ้นตรงโคนต้น) หรือไม่ก็ได้

วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ไม้หกเหียน


ไม้หกเหียนเป็นไม้ที่ดัดตัดแต่งต้นและกิ่งให้ย้อนกลับลงมาทางโคนต้นก่อน แล้วจึงดัดกิ่งให้โค้งงอขึ้นไปรอบๆ ต้น ตามตำรากำหนดให้ทำกิ่งและช่อพุ่ม 11 ช่อ ไม้หกเหียนเป็นไม้ดัดอีกประเภทหนึ่งที่ดักยาก ต้องใช้ฝีมือและความวิริยะอุตสาหะมากจึงจะทำได้

วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ไม้ฉาก


ไม้ฉาก ลักษณะทั้งทรงต้นและกิ่งดัดแต่งให้เป็นรูปมุมฉาก ส่วนปลายกิ่งก็จะตัดแต่งให้เป็นพุ่มใบ โดยนิยมทำเป็น 9 ช่อไม้ฉากเป็นไม้ดัดที่ดัดยากที่สุด ผู้ที่ดัดจะต้องเป็นผู้มีฝีมือและมีความวิริยะ อดทนสูงมากจึงจะทำได้

วันอังคารที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ไม้ดัด ไม้เคระ


ไม้ขบวน มีลักษณะทรงต้นตรงหรือคดเล็กน้อย เป็น

ไม้ดัดที่มีทรงต้นต่ำ

ดัดกิ่งให้วกเวียนขึ้นไปวนสุดยอด

ทั่วไปนิยมทำเป็น9ช่อ